วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2562

รีวิว | เอาเหรียญไปฝากธนาคารออมสินและคำแนะนำเพื่อความรวดเร็ว

         สวัสดีค่าา ทุกๆท่าน  

         วันนี้เราจะมาแชร์ขั้นตอนการเอาเหรียญไปฝาก ธนาคารออมสินนะคะ ซึ่งก่อนจะเอาไปฝากก็หาข้อมูลอยู่เหมือนกัน กลัวเขาไม่รับ แบบเห็นเราฝากเหรียญแล้วทำหน้าไม่พอใจ หรืออาจจะมีกำหนดรับฝากเฉพาะบางวันไรงี้ วันที่เราเอาไปฝากคือวันเสาร์ค่ะ   คนเยอะพอสมควร แต่ในธนาคารจะมีกำหนดช่องทางที่สำหรับคนจะฝากเหรียญเลยค่ะ ไม่ต้องกลัวพนักงานหน้าบึ้งใส่นะ  
(เผื่อมีคนอยากรู้ สาขาที่เราไปฝากคือ ธนาคารออมสินสาขา ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ ค่ะ )

เรามีขั้นตอนมาฝากว่าต้องทำอะไรบ้าง 

            1. เข้าไปหาคนที่กดบัตรคิว บอกเขาว่าฝากเหรียญ เขาก็จะกดให้ หรือเราสามารถกดเองก็ได้ ช่องทางที่สำหรับฝากเหรียญจะเป็นช่องทางเดียวกับเปิดบัญชี 
            2. จะมีพนักงานคอยถามว่ามีใครมาฝากเหรียญมั้ย เพราะว่าเขาจะนับจำนวนให้ก่อน การนับเหรียญก็ไม่นานเลยเพราะที่ธนาคารจะมีเครื่องนับเหรียญคอยให้บริการ  มีตัวอย่างด้านล่าง **ขอยืมภาพมาจากอินเทอร์เน็ตนะคะ 



         3. หลังจากที่พนักงานนับเสร็จเขาจะใส่ตระกร้า แยกจำนวน ไปวางที่เค้าเตอร์ฝากเงินให้ค่ะ ระหว่างนั้นเราก็เขียนใบฝาก รอ
         4. เราก็รอพนักงานเรียกชื่อและทำขั้นตอนการฝากตามปกติ 

วันที่เราไปเราไปเปิดบัญชีด้วย และฝากเงินเป็นเหรียญด้วย ระหว่างที่รอนับเหรียญอยู่ก็ทำเรื่องเปิดบัญชีไปด้วย รวมเวลาทั้งหมด เปิดบัญชี นับเหรียญ และฝากเงิน ใช้เวลาแค่ 20 นาที เองค่ะ  ส่วนค่านับเหรียญพนักงานเขาไม่ได้แจ้งค่ะ ว่ามีค่านับรึเปล่า เราเองลืมถามค่ะ ขออภัย

        ข้อแนะนำ

   1. เอกสารที่ใช้ในการเปิดบัญชี คือ บัตรประชาชน ใบเดียว
   2. ถ้ามีบัญชีแล้ว ก็ใช้สมุด บช ในการไปฝาก  ถ้าใครรู้แล้วก็ข้ามข้อ 1-2 ไปเลยจ้า
   3. การนำเหรียญไปฝาก  ควรนำใส่ถุงใหญ่ และแยกตามประเภทของเหรียญก็พอ ไม่ต้องแยกถุงละร้อย เพราะเขาใช้เครื่องนับมันเสียเวลาแกะทีละถุงค่ะ  
   4. เหรียญดำเกินไปเขาไม่รับค่ะ ตอนเราเอาไปฝากเราก็โดนตีกลับ เหมือนเครื่องตรวจไม่ได้ว่าเป็นเงินเหรียญจริงๆ
   5. ถ้าเอาธนบัตรไปฝาก คลี่ออกให้ตรงๆ และแยกประเภทธนบัตรมัดเป็นปึก ไม่ต้องพับค่ะ และถ้าจะให้ดีก็เรียงให้เป็นด้านเดียวกันไปเลย เพราะถ้าไม่เรียงไปพนักงานเขาก็จะเอาออกมาเช็คและเรียงใหม่ แต่ถ้าใครไม่ซีเรียสเรื่องยืนรอก็ไม่เป็นไรจ้า 
   

           เท่าที่สังเกตได้ก็ประมาณนี้ละจ้า และขออภัยที่อาจจะมีข้อมูลตกหล่น หรือไม่ครบถ้วนเน้ออ
ถ้ามีข้อแนะนำก็แสดงความคิดเห็นกันได้นะจ้า  ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านค่าา  _/\_




วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2561

Review | ลอกสิวเสี้ยนด้วยเจลาติน ออกเยอะจนขนลุก

สวัสดีจ้าา  มิตรรักแฟนบล็อค ทุกๆท่าน 

วันนี้แนนจะมาแชร์การลอกสิวเสี้ยน ด้วยเจลาตินกันนะคะ  

คำเตือน   
1.  ภาพมีความน่าขนลุก ห้ามอ่าน/ดู ตอนกินข้าว **
2.  อย่าทำบ่อย แนะนำเดือนละครั้งพอ หรือใครเน้นเอาความสะใจเป็นหลักก็อาทิตย์เว้นอาทิตย์นะคะ บ่อยกว่านี้รูขุมขนจะกว้างเกินไป
3.  การลอกสิวเสี้ยน เป็นความสะใจส่วนบุคคลนะคะ ทางที่ดีควรใช้วิธีการสครับจะดีกว่าเพราะไม่ทำให้รูขุมขนกว้างขึ้น
4. เราไม่ใช่บิ้วตี้กูรูนะคะ วิธีที่เราแนะนำเป็นเพียงความเห็นจากเราเท่านั้น


ไม่รอช้าให้เสียเวลา ไปดูกันเล้ยยย ^_^

1. เราใช้เจลาตินแบบผงนะคะ จะใช้ง่ายกว่าแบบแผ่น ไม่ต้องเอาไปแช่น้ำก่อน เจลาตินละลายง่าย และเราสามารถ Control ความเหนียว ความข้นได้ง่ายกว่า  ราคา 60 กว่าบาท หาซื้อได้ตาม Maxvalu , Lotus , Top

2. ใส่เจลาติน ในถ้วยเล็ก อะไรก็ได้ ในรูปเป็นถ้วยที่แถมมากับมาร์คเม็ดนะคะ ถ้าไม่มีก็ใช้ถ้วยใหญ่ 
ใส่มาม่าเราก็ได้ เพราะเจลาตินก็คือของกินนั่นละ 



3. ใช้น้ำร้อนเทลงไปผสม แล้วคนให้เจลาติดละลายเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วทิ้งไว้สักพักก่อนนะคะ ถ้าใช้เลยเดี๋ยวมันจะร้อนเกินไป 


4. เข้าสู่ขั้นตอนทาลงไปที่จมูก หรือจุดที่มีสิวเสี้ยน กลิ่นมันจะเหม็นๆ หน่อย ต้องอดทนนะ 
ทิ้งไว้ประมาณ 15 - 30 นาที แล้วแต่ความหนาของเจลาติน จับๆดูถ้าแห้งทุกจุดแล้วก็ลอกออกได้เลย

และผลที่ได้ก็จะเป็นประมาณนี้ ในรูปเราปรับแสงนิดหน่อยนะ เพื่อให้มองเห็นชัดขึ้น  เห็นแล้วรู้สึกขนลุก และรู้สึกสะใจเป็นการส่วนตัว 






ข้อดี  
- ใช้วิธีนี้ลอกออกได้เยอะมาก และสะใจมาก
- เจลาตินแบบผงคือเราทาแค่ชั้นเดียวก็พอ แต่ตอนที่เราใช้แบบแผ่น เราควบคุมความเหนียวไม่ได้ แล้วต้องทาหลายๆชั้น  แล้วก็เจอปัญหาว่าเจลาตินไหลเข้าปากบ้าง ไหลมาที่คอบ้าง  แล้วต้องนอนนิ่งๆเพื่อรอให้ เจลาตินเซตตัวก่อนจะทาชั้นต่อไป พอเปลี่ยนเป็นแบบผง ชีวิตดีขึ้นเยอะเลย  

ข้อเสีย  
-  รูขุมขนกว้างอย่างที่บอกไปข้างบน ก็อย่าทำบ่อยนะ 
- หลักๆคือ เรื่อง กลิ่น แรงพอสมควร เหม็นไหม้ๆ แต่แปปเดียวพอเซตตัว ก็จะหายไป  
- ส่วนเรื่องความเจ็บเวลาลอกออก เราแนะนำว่าให้ทาค่อนข้างหนานิดหนึ่ง เวลาลอกจะง่าย ไม่ค่อยเจ็บ แต่ก็จะเสียเวลารอให้แห้งนิดหน่อย ระหว่างนั้นก็นอนอ่านนิยาย หรือ ไถ Facebook ไปก็ได้ 


เอาละ เป็นไงกันบ้างสำหรับวิธีลอกสิวเสี้ยนที่เอามาแชร์กัน ใครมีความโรคจิตเหมือนเราก็ลองเอาไปทำกันได้นะ รับรองไม่ผิดหวัง แน่นอน 

บ๊ายยยยย  ^___^


วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2561

บอกเล่าเก้าสิบ | 01. ภาษาอังกฤษเป็นเพียงเครื่องมือในการสื่อสาร

"พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส"

  คำนี้เราคงได้ยินกันบ่อย ในหลายบทความ หลายรายการทีวี หรือวิทยุ แต่คงไม่บ่อยนักที่เราจะสามารถทำแบบนั้นได้จริง เมื่ออยู่ในช่วงอารมณ์ที่เจอแต่อุปสรรค และ วิกฤตในชีวิต

     บทความวันนี้เป็นข้อคิดข้อนึงที่เราได้ จากชีวิตเราเอง ที่พอมองย้อนกลับไปก็รู้สึก เอะ ขึ้นมาได้ว่า เฮ้ย จริงๆแล้ว มันก็อยู่ที่ตัวเองทั้งนั้น อยู่ที่มุมมองที่เราใช้มองปัญหา หรือ วิกฤตที่เราพบเจอ


    เหตุการณ์ที่เราอยากเล่าก็คือ เรื่องของภาษาอังกฤษ สมัยนี้มันอาจจะเป็นเรื่องทั่วไป ไปแล้วที่ใครๆ ก็พูดภาษาอังกฤษได้ แต่สำหรับเรามันเป็นประสบการณ์ใหม่ที่เราได้เรียนรู้  อยากเล่าย้อนกลับไปเมื่อตอนมัธยม เราเป็นคนที่ไม่ชอบภาษาอังกฤษเลย เข้าเรียนทีไร ก็หลับทุกคาบ  เรียนก็เรียนและจบมาแบบผ่านๆ  รู้ศัพท์บ้าง โครงสร้างประโยคนิดหน่อย แบบผ่านๆ แต่เอาจริงๆ ลึกๆแล้วเราก็รู้ว่าภาษาอังกฤษมันสำคัญ  แต่มันไม่เข้าสมองเลยจริงๆ   =_="
   พอเรียนจบแล้วเข้าสู่วัยทำงาน เราก็เจอปัญหากับการใช้ภาษาอังกฤษ  เราทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงงานแบบ International ซึ่งหลายอย่าง  การทำรายงาน การสื่อสาร หลายส่วนเป็นภาษาอังกฤษ ช่วงแรกเราหนักใจมาก เฮ้ย! ฟังไม่ออก พูดไม่ได้  แปลได้นิดหน่อย เพราะแปลจาก Google  ^_^

    ความทุกข์ใจต่างๆ เกิดขึ้น จากการโกธรตัวเอง ความรู้สึกว่าทำไมตัวเองไม่ได้เรื่องอย่างนี้ แค่นี้ทำไมทำไม่ได้ ทำไมฟังไม่รู้เรื่อง แล้วมันก็ทำให้รู้สึกกลัว กลัวที่จะได้เดินผ่านผู้บริหาร พนักงานที่เป็นต่างชาติ กลัวว่าเขาจะถาม  กลัวแม้กระทั่งการส่งเมล์ที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ ไม่กล้าที่จะกดส่ง เพราะกลัวพิมพ์ผิด หรือกลัวพูดอะไรไปแล้วเขาไม่เข้าใจ กลัวสำเนียงไม่ได้

   จนนานๆเข้าเราเริ่มเหนื่อยกับความกลัวต่างๆ เริ่มถามกับตัวเองว่า "เฮ้ย เราจะกลัวไปทำไมวะ" , "เฮ้ย ทำไมเขาทำได้ ทำไมเราถึงทำไม่ได้"  เราเริ่มเปลี่ยนมุมมองตัวเอง ไม่ได้เลิกกลัว แต่เริ่มที่จะมีความกล้ามากขึ้น แบบ "เอาวะ เป็นไงเป็นกัน" ส่วนนึงที่เราเริ่มเปลี่ยนมุมมองตัวเองได้ เราว่าเนื่องจากสิ่งแวดล้อม ที่มีการใช้ภาษาอังกฤษเยอะ  จากหัวหน้าเราเองที่กระตุ้นแกมบังคับ ให้เราเริ่มใช้ภาษาอังกฤษ ถึงแม้ว่ามันจะถูก จะผิดบ้าง เขาก็ไม่เคยว่า หรือด่า  ทำให้เราได้ข้อคิด ที่ว่า "เอาจริงๆแล้วหลายๆอย่างมันก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิด แค่เราลองที่ทำมัน"

      เราเริ่มจากการส่งเมล์เป็นภาษาอังกฤษ คัพท์คำไหนไม่ได้ก็ถาม Google ดูยูทูปรายการที่สอนภาษาอังกฤษ ฝึกฟังข่าว ฟังพ็อดคาส เป็นภาษาอังกฤษมาเรื่อยๆ   จนมีเหตุการณ์ที่เรารู้สึกได้ว่าเฮ้ย ภาษาอังกฤษเราดีขึ้น ก็คือตอนที่เราต้องโปรเจ็คหนึ่งกับ RD ( research and development )  ที่เป็นต่างชาติและหัวหน้าเราปล่อยให้ทำงานกับเขาคนเดียว จนเราต้องงัดทั้งสกิลการฟัง  คลังคำศัพท์ในหัว สกิลภาษามือ  ภายในเวลา หนึ่งอาทิตย์ที่เราต้องเจอกับเขาทุกวัน ทำให้เราคิดได้ว่า เฮ้ย!!  สกิลการฟังเราดี ขึ้นมาก และกล้าที่จะพูดมากขึ้น

อีกข้อคิดนึงที่เราได้การการเรียนรู้ในยูทูป เราได้ยินประโยคนึงจากพี่ลูกกอล์ฟ รายการ English room ว่า "ภาษามันเป็นแค่เครื่องมือการสื่อสาร แค่เราใช้สื่อสารแล้วคนอื่นรู้เรื่องมันก็ถือว่าสำเร็จแล้ว" 

นั่นหมายความว่าไม่ว่าจะภาษาอะไร มันก็เป็นแค่เครื่องมือในการสื่อสาร ไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าเราเป็นคนแบบไหน เราใช้มันเพื่อการสื่อสาร  ถ้าเราสื่อสารรู้เรื่องเราก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องไปกังวลสำเนียง กังวลโครงสร้างประโยคอะไรขนาดนั้น  ( ถ้าโครงสร้างถูกด้วยมันก็ถือว่าดี โอเคนะ ^__^ )

      ถึงตอนนี้ถือว่าเราเก่งไหม ถึงได้มาเขียนบทความได้ คำตอบก็คือ ไม่  เราก็ยังฟังไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม  พูดติดๆขัดๆ ไม่รู้คำศัพท์เหมือนเดิม  พูดสำเนียงไทยแบบพูดเหมือนอ่านอยู่เหมือนเดิม  แต่ทัศนคติต่อภาษาอังกฤษ เราเปลี่ยนไป  เรามีความกล้ามากขึ้น กล้าพูด กล้าใช้มันเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร เรารู้สึกเหมือนเราประสบความสำเร็จไปอีกขั้นนึง

เราแค่อยากแชร์ความคิด ความรู้สึกที่เราคิดได้จากประสบการณ์ของเราเอง เราเชื่อว่าน่าจะยังมีคนที่ยังกลัวแบบเรา หรือคิดได้แล้วแต่ยึกๆยักๆ ไม่กล้าที่จะเริ่มเรียนรู้สักที ตอนนี้เราก็อายุ 25 แล้ว เราก็เริ่มเรียนรู้ใหม่ เข้าห้องเรียน เรียนโครงสร้างประโยคใหม่ เริ่มเรียน Tense ใหม่ เพื่อให้ใช้อย่างถูกต้องมากขึ้น

         เป็นกำลังใจให้ทุกคน และขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ เขียนผิดเขียนถูก เขียนไม่รู้เรื่อง ก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ

บ๊ายยยยย  ^___^

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2561

How to : ติดตั้งฟอนต์ในแอพ Phonto เพื่อให้ใส่ข้อความภาษาไทยน่ารักๆในลงในรูปภาพได้

สวัสดีค่าาา เพื่อน พ้อง น้องพี่ที่รักทุกคน
ทำความรู้จักกันก่อน เราชื่อแนนจ้า เขียนมาหลายบทความละ แต่พึ่งแนะนำตัว


         วันนี้เราจะมาแชร์วิธีการติดตั้งฟอนต์ภาษาไทย ลงในแอพ Phonto เพื่อให้สามารถใส่ข้อความภาษาไทยน่ารักๆ ได้นะจ๊ะ  ไปดูกันเล้ยยย


  

ตัวอย่างตัวหนังสือน่ารักๆ ที่ได้จากแอพ Phonto

  


  • ใครที่ยังไม่มีแอพดาวน์โหลดกันก่อนนะจ๊ะ ที่ App Store และ Play Store เลยจ้า
  • โหลดแอพเสร็จแล้วเก็บไว้ก่อน  เปิด Google ขึ้นมาเข้าไปโหลดฟ้อนกันเลย มีหลายแหล่งมาที่เปิดให้โหลดฟ้อนฟรี สามารถค้นหา "ฟอนต์ไทยฟรี" Google ก็ได้ ส่วนเราจะมีเว็บที่โหลดบ่อยๆ ก็คือ ฟอนต์.คอม นั่นเอง    https://www.f0nt.com/

   

  • สามารถเลือกฟอนต์ที่ต้องการ แล้วเลื่อนลงไปล่างสุด จนเจอคำว่า "ดาวน์โหลด"  แล้วกดดาวน์โหลด
  • หลังจากดาวน์โหลดเสร็จ จะขึ้นหน้าจอไฟล์ Zip ของฟอนต์ ให้เรากด "เปิดใน Phonto"
  • จะขึ้นหน้าจอให้ติดตั้งฟอนต์ ให้เรากด "Install"

  • ติดตั้งเสร็จแล้วปิด เว็บฟอนต์ แอพจะเปิดขึ้นให้อัตโนมัติ สามารถดูฟอนต์ที่เราโหลดมาได้ใน My font  ในขั้นตอนของการเพิ่มข้อความในแอพ

      เท่านี้เราก็จะได้ตัวอักษรภาษาไทยน่ารักๆ ไปใช้ในรูปภาพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์ในเว็บเพจ หรือเอาไว้ตกแต่งแบนเนอร์สำหรับขายสินค้าก็ได้จ้า 
ส่วนใครที่อ่านจนจบแล้วก็ยังไม่เข้าใจ เรามีวิดีโอเพิ่มเติมด้านล่างเลยจ้าา



บายละเด๋อออ

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เอามาแชร์ My Bullet Journal

สวัสดีจ้าา  เพื่อนพ้อง น้องพี่ ที่รักทั้งหลาย วันนี้เราจะมาแชร์ Bullet Journal ของเราเอง 
จริงๆ แล้วเราพึ่งเริ่มทำได้เดือนเดียวนะคะ แต่เรารู้สึกว่ามันมีประโยชน์ ฝึกวินัย และฝึกการบันทึกของตัวเอง 
  • เริ่มต้นด้วยหน้าตาของสมุดที่เราใช้เขียน เราชอบขนาดที่ไม่ใหญ่มาก พกพาไปไหนสะดวก  ปากกาเราใช้ Pigma Sakura ขนาด 0.35 mm.  หาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไปเลยจ้าา Se-ed , B2S ส่วนอีกด้ามเป็นปากกาที่ซื้อมาจากงานหนังสือ น่ารักดี ราคา 35 บาท

  • เปิดมาหน้าต่อไปคือ Index หรือสารบัญ เพื่อบอกว่าใน Journal เล่มนี้มีเนื้อหาอะไรบ้าง อยู่หน้าไหน มีประโยชน์ตรงที่ เวลาเราเขียนไปเยอะๆ แล้วพอกลับมาเปิดหา เปิดเขียนอีกครั้ง จะได้หาง่ายๆ เน้อ ในส่วนของการเขียนผิดน๊านนน เราอย่าได้สนใจ  ^^ 

            ถัดมาเป็นส่วนของ Key หรือสัญลักษณ์ที่เขียนใน Bullet Journal ของเรานะคะ แต่เอาเข้าจริงแล้วเราก็ไม่ค่อยไได้เขียนตามสัญลักษณ์ที่เขียนไว้สักเท่าไร จะมีบางตัวที่ได้ใช้จริงๆ และก็ไม่ได้ใช้เลยก็มี แต่เพื่อๆก็ไม่ต้องไป ซีเรียสมากนะคะ เอาตามที่เราเข้าใจ วัตถุประสงค์ของหน้านี้ก็เพื่อใช้อธิบายสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เราเชียนลงไป เพื่อให้ดูง่าย และเข้าใจมากขึ้นเท่านั้นเอง

ในที่สุดก็มาถึงเนื้อหาข้างในว่าในแต่ละหน้า ซึ่งในช่วงต้นของเล่มเราจะบันทึกกิจกรรมทั่วไป ที่เราชอบทำ ถัดไปเราถึงจะเป็นบันทึกรายละเอียดงาน ในแต่ละเดือน เรามีการบันทึกเรื่องอะไรบ้าง ??  
ไปดูกัน ....



  1. Movie Tracker : บันทึกภาพยนต์ที่เราได้ไปดู หรือ วางแผนว่าอยากดู เอาไว้บันทึกเป็นความทรงจำ  ซึ่งด้านหนังเราทำซองจดหมายเอาไว้เก็บตั๋วหนังด้วย  เพื่อนๆ จะเห็นสัญลักษณ์ คือ วงกลมสีขาว คืออยากดู ส่วนวงกลมสีดำคือดูแล้วนั่นเองจ้าา
      

  2. Book Tracker : บันทึกการอ่านหนังสือ แน่นอนเราก็ชอบอ่านหนังสือเช่นกัน ส่วนใหญ่ก็เป็นหนังสือนิยายบ้าง หนังสือจิตวิทยาบ้าง  บันทึกไว้ดูว่าปีๆนึง เราอ่านหนังสือไปแล้วกี่เล่ม

  3. Series Tracker : มีบันทึกภาพยนต์แล้วจะไม่มีซีรี่ส์ได้อย่างไร ซึ่งในส่วนของซีรี่ส์เราก็จะใส่ ชื่อเรื่อง และจำนวนตอนที่ดู ว่าดูถึงตอนไหนแล้ว หรือ เรื่องไหนที่ดูจบแล้วบ้าง

  4. Saving : เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "เมื่อเราใช้เงินเก่งแล้ว เราก็ต้องเก็บงินเก่งด้วย"  เราใช้วิธีนี้ฝึกวินัยให้ตัวเองในการออมเงิน ใช้วิธีหยอดกระปุกวันละ 20 บาท แล้วก็มาระบายในตาราง ถามว่าทำได้ตลอดทุกวันมั้ย ก็ไม่หรอก แต่ก็ยังดีกว่าเราไม่เก็บอะไรเลย

  5. IDEA Review : สำหรับคนที่ชอบเขียน ชอบรีวิวหน้านี้ต้องเป็นประโยชน์มากแน่ๆ เพราะไอเดียชอบผุดขึ้นมาตอนที่เราไม่ได้ตั้งตัว เราพกสมุดเล่มนี้ไปด้วยทุกที่ เวลาที่เรานึกไอเดียได้ว่าอยากรีวิว หรือเขียนบทความอะไร ก็บันทึกเก็บไว้ได้เล้ยย

  6. Period Tracker : หรือบันทึกรอบเดือนของเรานั่นเองมันเป็นประโยชน์มาจริงๆนะสำหรับผู้หญิง เราจะได้เห็นภาพรวมแล้วเช็คกับตัวเองได้ว่าสุขภาพของเราเป็นยังไง รอบเดือนมาตรงกันสม่ำเสมอมั้ย หรือช่วงไหนที่มาผิดเวลา แสดงว่าในเดือนนั้นเราอาจจะมีความเครียดมากเกินไป

  7. Sleep Log : เป็นบันทึกเวลานอนของเราว่าในแต่ละวันเรานอนกี่ชั่วโมง จากบันทึกเรานี่นิสัยเสียมากเลย เวลานอนเละเทะ จ้าาา

  8. บันทึกรายรับรายจ่าย : เราลองทำดูแล้วไม่เวิร์คสำหรับเราเลย



    มาถึงส่วนของรายละเอียดเกี่ยวกับงาน ที่เราบันทึกกันบ้างนะคะ 
  9. Future Log  : เอาไว้บันทึกภาพรวมของเดือนอื่นๆ ที่ยังมาไม่ถึง ตัวอย่างเช่นเรามีการวางแผนไปเที่ยวกับเพื่อในอีก 3 เดือนข้างหน้า ซึ่งเรายังไม่ได้เขียนแผนประจำเดือนของเดือนนู้นเลย เราก็เอามาใส่ในหน้านี้ เพื่อที่จะได้เห็นแผนล่วงหน้าได้ชัดเจน
  10. Next Year : บางครั้งแผนภาพรวมแค่มีนี้มันก็ไม่พอนะคะ เราก็เพิ่มแผนของปีหน้าเอาไว้เลย  แล้วค่อยไปลงรายละเอียดในแผนของปีนั้นๆอีกที

  11. ภาพรวมของเดือน : มันอาจจะฟังดูซ้ำซ้อนนะคะ แต่สำหรับงานเราจะทำเป็นโปรเจ็คต่างๆ ซึ่งก็จะมีการทดลองนู้นนี่นั่น ซึ่งบางทีเราจะมีแผนมาล่วงหน้า 3-4 เดือน หรืออาจจะเป็นปี  แต่สำหรับเพื่อนที่ไม่จำเป็นต้องวางแผนล่วงหน้าอะไรนานขนาดนั้น ก็สามารถประยุกต์ เพื่อ หรือลดลง ได้จ้า

  12. ในส่วนสุดท้ายก็จะเป็นการลงรายละเอียดในแต่ละวันนะคะ ว่าในแต่ละวันเรามีกิจกรรมทำอะไรบ้าง รายละเอียด เวลา สถานที่ และอะไรที่ต้องเตรียม ต้องทำบ้าง แต่สำหรับเราไม่ค่อยได้ใช้ เพราะเราขี้เกียจเปิดหลายหน้า ชอบดูหน้าภาพรวมทีเดียว

    เป็นยังไงกันบ้างคะ สำหรับ Bullet  Journal ของเราพอจะเป็นไอเดียให้เพื่อนๆ ได้รึเปล่า สำหรับใครที่สนใจ และอยากทำ ขอบอกว่าอย่าเดี๋ยวนะคะ ไม่ต้องนู้น รอนี่ หยิบ สมุด ปากกาที่เรามีตอนนี้ ขึ้นมาเขียนได้เลย ไม่จำเป็นต้องซื้อสมุดบันทึกอย่างดี หรือปากกาด้ามละร้อย  เพราะบางทีเมื่อถึงเวลาที่เรามีอุปกรณ์พ้อมทุกอย่าง เราอาจจะขี้เกียจ ไม่อยากเขียนแล้วก็ได้เนอะ ^^ เราเป็นบ่อย

    หรือใครที่จะบอกว่า วาดรูปไม่เป็น วาดรูปไม่สวย เอาจริงๆ เราก็วาดไม่สวยนะคะ เราใช้วิธีเปิด Google ค้นหาคำว่า Bullet Journal จะเจอแบบเยอะแยะเลย หาแบบแล้ววาดตาม เพื่อนๆก็คงจะเห็นเนาะ ในบันทึกเราเขียนผิด เขียนถูก วาดไม่สวย ขีดเส้นไม่ตรงบ้าง มันก็เป็นธรรมชาติอ่าค่ะ

    ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่อ่านจบมาจนถึงบรรทัดนี้นะคะ หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์กับเพื่อนๆได้ไม่มากก็น้อย ใครชอบก็ช่วยแชร์ให้เพื่อนๆ เข้ามาอ่านกันเยอะๆเน้อออ 
บ๊าย บาย จ้าาา

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2561

เรื่องเล่า จากเบื้องหลังกำแพง


 เราเคยได้ยินกันมั้ย ข่าวที่เด็กคนนึงถูกเลี้ยงในห้องสี่เหลี่ยมหลายสิบปี จนไม่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้ ไม่รู้จักวิธีการสื่อสารแบบมนุษย์ปกติ


      มันก็เหมือนกันกับคนที่ปิดตัวเอง ปิดใจ อยู่หลังกำแพงหนาที่ตัวเองสร้างขึ้น เมื่อครั้งที่ต้องออกมาเจอโลกภายนอก หรือเริ่มต้นทำความรู้จักกับใครสักคน เขาก็จะไม่รู้จักวิธีสื่อสาร  ไม่รู้วิธีที่จะแสดงความรู้สึก แบบนี้ใช่ หรือ ไม่ใช่ในสิ่งที่ควรจะเป็น ...?  
      จนบางครั้งมันอาจจะใช้เวลานานเกินไป ในการพยายามทลายกำแพงตัวเอง จนอีกคนที่อยู่อีกด้านหมดความอดทนรอ และเดินจากไป
สุดท้ายกำแพงก็ถูกสร้างขึ้นอีกครั้ง และ หนากว่าเดิม... 


     มันไม่ได้ง่ายเลยในการเปิดรับใครสักคน หลากหลายความรู้สึก ความกลัว ความสับสน คิดแล้วคิดอีก ในการทลายอิฐแต่ละก้อน หลายครั้งที่พังแล้วก่อใหม่  แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครที่จะอยากอยู่หลังกำแพงนั้นคนเดียวตลอดไปหรอก  ในใจก็ยังรอคนที่จะช่วยให้สามารถทลายกำแพงหนานั้นได้สำเร็จอยู่ดี...

พียงแค่เราให้เวลา ให้ช่องว่าง  ให้พื้นที่ในการคิดทบทวน  ไม่นานหรอกกำแพงนั้นจะค่อยๆพังทลาย โดยที่เราไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อยเลย... 


วันพุธที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Review App ดูซีรี่ส์เกาหลีฟรี!!!!


แฮ่ !!!   
ไหนใครชอบดูซีรี่ส์เกาหลียกมือขึ้น \^○^/    วันนี้เรามี app ที่ใช้ดูซีรี่ส์เกาหลีมาฝากนะคะ
อย่ารอช้าา  App นั้นก็คือ "VIU"  นั่นเองง โดย แอพ สามารถดูได้ฟรี แต่มีข้อจำกัด นะ แต่ก็มีแบบที่มีค่าบริการรายเดือนจะสามารถดาวน์โหลดมาเก็บไว้ดูได้ด้วย

เปิดหน้าแรก ก็จะเห็นแบบนี้
สามารถดาวน์โหลด ได้ทั้งในระบบ Android
และ ios นะคะ 



มีการจัดหมวดหมู่มากมายทั้ง Best of 2016 
และซีรี่ส์ที่กำลังออนแอร์อยู่



ในส่วนของซีรี่ส์ จะมีสรุปเรื่องย่อในแต่ละตอน
และมีเรื่องย่อของทั้งเรื่องไว้ใหด้วย
มีวาไรตี้ยอดนิยมด้วย ทั้ง King of Mask singer
Running man, หรือ The return of superman 
        
   


          1.  การปรับตั้งค่า มีความละเอียดให้ ตั้งแต่ SD  , HD  และ Full HD   
แต่ความละเอียดตั้งแต่ HD ขึ้นไป ต้องเป็นสมาชิกและเสียค่าบริการรายเดือนนะคะ
          2. บทบรรยาย สามารถเปลี่ยนภาษาซับไตเติ้ลได้ มีทั้ง ภาษาไทย English จีน อินโดนีเซีย  

สิทธิพิเศษสำหรับคนที่ชอบความพรีเมี่ยม
                           
แพ็คเก็จสำหรับคนที่สนใจ สมัคร
** ต้องบอกก่อนว่าไม่ได้เป็นการโฆษณาใดๆนะคะ และเราไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ กับค่าบริการนะคะ  

  


วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Review "Flow" เกมส์เด็กๆ แต่ได้เล่นแล้วไม่เด็กเลยจ๊ะ

เกมส์ "Flow" 

เป็นเกมส์ที่ง่อย และเด็ก มากๆ แต่เล่นไปเล่นมา รู้ตัวอีกทีชาติหน้ากันเลยทีเดียว คอนเซ็ปเกมส์นี้ง่ายมาก เพียงแค่โยงเส้น ของสีเดียวกันเข้าหากันแค่นั้นเอง สามารถโหลดตามได้ใน play store แต่ไม่แน่ใจว่าใน app store จะมีรึเปล่านะ ฟรี!!!! จ้า


เข้าเกมส์มาหน้าแรกจะเจอกับเมนู โดยเกมส์ มี 2 รูปแบบนะ 
1.  free play คือแบบปกติ 
2.  time trial เป็นแบบจับเวลานะคะ


วันนี้รีวิวแบบปกติละกัน ในเกมส์จะมี pack ของเกมส์ มาให้ทั้งหมด 10 pack 
และแบบที่ Refresh ทุกวันอีก 1 Pack 

โดย แต่ละ pack จะมีทั้งหมด 150 ด่าน เล่นกันให้ตาลายกันไปข้างเลย!!


รูปแบบง่ายมาก แค่โยงสี ที่เหมือนกันเข้าหากันแค่นั้นเอง ซึ่งแต่ละเส้นจะตัดกันไม่ได้นะ 

ตามตัวอย่างนี้เป็นแบบง่ายที่สุด


ด่านที่ 150 ยากขึ้นมานิดนึง  แต่ยังไปได้อยู่

หวังว่าคงชอบ แล้วลองโหลดมาเล่นกันนะคะ  บาย.....


วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Review "Plant Money" แอพตัวช่วยในการบันทึกรายรับ - รายจ่าย #raveereviewapp

ฮัลโหล!!! 

มีใครอยากทำรายรับ-รายจ่าย แต่ขี้เกียจเขียนลงสมุดบ้างมั้ย  วันนี้เรามีแอพดีๆมาเสนอ "Plant Money"  เป็นแอพฟรี ที่ดี และมีประโยชน์ จร๊าาา 





เราสามารถค้นหาง่ายๆ ใน Play store 

- สามารถให้เราบันทึกรายรับรายจ่ายได้ง่ายๆ ในมือถือ

- มีสรุปรายการในแต่ละเดือน ว่าเรามีค่าใช้จ่ายอะไรไปบ้าง
- สามารถให้เราวางแผนการออมเงินได้อีกด้วย 
- จะให้สมกับชื่อ Plant money ก็ต้องเกี่ยวกับต้นไม้ เพราะทุกครั้งที่เราบันทึกรายการ ต้นไม้จะค่อยๆโตขึ้นเรื่อยๆ



พอเปิดเข้ามีหน้าแรกจะมีฟีเจอร์

 ที่ให้เราสามารถกำหนดรหัสผ่านได้ 

แต่ไม่ล็อคก็ได้เช่นกัน










พอเปิดเข้ามาหน้าแรก "Entry" 
เราจะเจอกับหน้าที่ให้กรอกรายรับ "Income" 
หรือรายจ่าย "Expense" 

- ด้านบนจะให้เลือกหมวดหมู่สำหรับรายการที่กรอก 

- ถัดลงมาจะเป็นรายละเอียด ว่ารายการนั้นคืออะไร
- ถัดมา จะเป็นจำนวนเงิน 

ตามรูปเลยจ้าา












รายการหมวดหมู่ ที่ต้องการ 
แต่เราก็สามารถเพิ่มเองได้ โดยกด " Add" ที่มุมบนด้านขวา















พอบันทึกเสร็จจะเห็นรายการในแต่ละวันที่เราบันทึก

ซึ่งเราจะเห็นกระถางต้นไม้ที่จะโตขึ้นเรื่อยๆ 

เมื่อเราบันทึกรายการนั่นเองจ้าา















ถัดมา แถบ "Report" 

จะเป็นสรุปรายการที่เราบันทึกในแต่ละเดือน 

โดยแสดงเป็นกราฟวงกลม 

และจะแยกประเภทของรายจ่ายตามที่เราบันทึก 

โดยเรียงจากรายการที่มากที่สุด









แถบถัดมา "Saving"
ให้เราวางแผนการออมเงิน 

1. โดยให้ใส่เป้าหมายว่าจะออมจำนวนเท่าไร
2. ใส่ช่วงเวลาว่าจะเก็บถึงเมื่่อไร
3. แอพจะเฉลี่ยจำนวนเงิน ในแต่ละเดือน และ แต่ละวัน ว่าต้องเก็บเท่าไร จึงจะได้ตามเป้าหมาย











ในแถบสุดท้าย "Plant" 

เป็นต้นไม้ทั้งหมดที่เราปลูก 

จากการบันทึกรายรับ และ รายจ่าย ของเรา

ซึ่งสามารถเลือกพันธุ์ต้นไม้อื่นได้ แต่ซื้อด้วยเหรียญนะจ๊ะ


The End...